วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

ปั่นจักรยานแล้ว (น่องขา) ใหญ่ จริงเหรอ ?

มีหลายท่าน มาถามแอนหลังไมค์ใน Facebook เยอะมาก ซึ่งประเด็นคำถามยอดฮิตที่สุด ณ ตอนนี้คือ คุณแอน ปั่นจักรยานหรือวิ่งแล้วขา/ น่องมันใหญ่ขึ้นไหม ปั่น/วิ่ง แล้วแอบกลัวว่ามันจะใหญ่ขึ้น

ประสบการณ์ส่วนตัว >>>> ไม่ใหญ่ขึ้นนะคะ แต่....กระชับขึ้นมากค่ะ....

น่องใหญ่/ขาใหญ่ เพราะอะไร สาเหตุ.....?
เคยรู้กันไหมว่า ขา/น่องใหญ่ มันเกิดจากอะไร คำตอบมีอยู่ 2 อย่าง คือ

          น่องใหญ่เพราะกล้ามเนื้อ : กล้ามเนื้อที่น่องขาเกิดใหญ่ขึ้นอาจเป็นเพราะเดินหรือออกกำลังกายหนักไป (ออกกำลังผิดวิธี) รวมทั้งสาวๆออฟฟิศที่ชอบใส่รองเท้าส้นสูง และต้องยืนเป็นเวลานาน ๆ ก็จะทำให้กล้ามเนื้อช่วงน่องขาใหญ่ขึ้นได้

          น่องใหญ่เพราะไขมัน : ไขมันส่วนเกินที่ไปสะสมตรงน่องขามากไป ทำให้น่องคุณผู้หญิงก็จะใหญ่ขึ้นได้

คำถาม : ถ้ามันมีอยู่ก่อนหน้านี้ หากมาปั่นมันจะใหญ่ขึ้นไหม ?
                                 คำตอบ : ปั่นให้ใหญ่ก็ได้ ปั่นไม่ให้ใหญ่ก็ได้
ปกติแล้วการปั่นจักรยานเป็นกีฬาที่โดยส่วนใหญ่จะใช้พลักงงานโดยเฉลี่ยประมาณ 300 แคลอลี่/ชั่วโมงขึ้นไป ซึ่งการใช้พลังงานระดับนี้ จะสามารถช่วยในการลดความอ้วนได้เป็นอย่างดีในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีข้อดีต่อขาหรือน่องของเราได้ โดยเฉพาะบริเวณน่องจะมีความแข็งแรงมากขึ้นด้วยซ้ำ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อข้อเท้า หัวเข่า และหลังของเรา  นอกจากนี้เมื่อปั่นจักรยานเสร็จแล้ว ยังทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า "After Burner" (การเผาผลาญไขมันส่วนเกินต่อเนื่อง) หลังจากการปั่นจักรยานต่ออีก
2-3 ชั่วโมง การปั่นจักรยานที่ถูกวิธี จึงนับเป็นการออกกำลังกาย ที่สามารถ ลดน่อง ได้เป็นอย่างดี
  วิธีการ/ หลักการปั่นจักรยานเพื่อลดน่องให้ถูกต้อง ทำยังไง 

ส่วนตัวผู้เขียนเดิมเป็นคนที่มีโครงสร้างขาไม่ได้ใหญ่มาก แต่เนื่องจากเป็นหญิงสาวในสมัยแบบโบราณ กล่าวคือ มีส่วนสูงที่โปร่งมากเหมือนนางแบบบนเวที ก็เลยอาจจะไม่ได้ดูเพรียว สูงโปร่ง ชะรูดลมมากสักเท่าไหร่ เลยพยายามไม่ให้ขาใหญ่มาก บอกตรงกลัวเป็นสาวข้างต้มมัด

มาตีแผ่กันด้วยภาพเลยดีกว่าค่ะ
ก่อนปั่นจักรยานจริงจังช่วง 3-4 เดือนก่อนหน้านี้ มีรอบน่องอยู่ที่ 13.3-13.4 นิ้ว ตามภาพด้านล่าง น่องแอบอูมๆ เล็กน้อยถึงปานกลาง แนวแบบอวบๆได้ที่เลยค่ะ
ช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ได้สัมผัสการปั่นจักรยานแนวเสือหมอบแบบหลักการปั่นที่เรียกว่า “เร็ว นาน เหนื่อย” (ปั่นแบบเกียร์เบาๆ เร็วๆ รอบการปั่นมากๆ) พยายามไม่เผลอไปปั่นเกียร์หนักและฝืดสูง สรุปผลทีได้ ก็คือน่องเรียวขาดูกระชับขึ้นค่ะ มีคนทักมากขึ้นว่าขาดูเล็กลงไปทำอะไรมา ถึงขนาดพี่หมอนวดแผนไทยประจำตัว ก็ยังทักเลยค่ะ ว่าน่องมันแข็งขึ้น ไม่เผละเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้
วันนี้ 27/1/2558 วัดรอบน่องอยู่ที่ 12.9-13 นิ้วแล้วค่ะ น่องสวยแบบไม่ผ่านศัลยกรรม ไม่สามารถได้มาโดยง่าย อยากได้ก็ต้องออกกำลังกายนะจ๊ะ


Bloger Ann Trek Silque
Date 28/1/2558


วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

หกบทสรุป !!!!! หากคิดจะปั่นทางไกล

ได้มีโอกาสกลับไปพิชิตเนินเส้นทางปั่น อ.หนองใหญ่มาอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 (เสาร์ที่ 24/1) ที่ผ่านมาหลังจากทีได้ไปทดลองครั้งแรกเมื่อวันอาทิตย์ที่ 18/1 ก่อนหน้าไม่ถึงสัปดาห์ ครั้งนี้ตั้งใจไว้ค่ะ ว่าจะทำ Performance การขึ้นเนินเขาชันให้ได้ดีขึ้นกว่าเดิม อย่างน้อยก็ต้องมีการกำหนดลมหายใจหรือมีรอบขาสำหรับการปั่นขึ้นเขาให้ดีขึ้น

สำหรับการปั่นวันนี้ !!! มีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางการปั่นไปจากสัปดาห์แรก ด้วยการเพิ่มระยะทางอ้อมจากเดิมมากขึ้นกว่า 20 Km. อีกทั้งกลุ่มที่ปั่นด้วยกันครั้งนี้ก็ล้อมรอบไปด้วยผู้มีแรงขา "ดุดัน" ประเภททางเรียบอย่าหวังจะได้แซง ทางเนินเขาก็ยิ่งหมดหวังไปกันใหญ่

ไม่เป็นไร อยากแข็งแรงและเป็นคนเก่ง เราก็ต้องฝึกซ้อมกับคนเก่งๆนั่นแหล่ะถูกต้องที่สุดแล้ว !!!
สำหรับวันนี้ได้บทเรียนการปั่นระยะทางไกลเพิ่มขึ้นกับตัวเองเยอะเลยค่ะ เป็นครั้งแรกที่ตัวเองปั่นได้ระยะทางไกลสูงสุดตั้งแต่เริ่มปั่นมากว่า 6 เดือน นั่นคือแตะที่ 80K. โดยมีระยะทางการปั่นทั้งที่เป็นทางเรียบและทางที่เป็นเนินเขาชัน 12%-13% บอกเลยว่าไม่ง่าย ....

โดยส่วนตัวชื่นชมและประทับใจความแข็งแรงของพี่ๆผู้ใหญ่ในทีมมากๆค่ะ บางท่านอายุเป็นเพียง
"ตัวเลข" จริงๆ ทำเอาตัวเองรู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเทียบกับความแข็งแรงที่ตัวเองมีอยู่ในตอนนี้ 
ซึ่งจริงๆแล้วเชื่อไหมค่ะว่านอกจากท่าทางของการปั่นที่ถูกต้องแล้ว การปั่นระยะทางไกลให้ได้มีประสิทธภาพที่ดีนั้น มันต้องมีเทคนิคประกอบการปั่นด้วย ไม่ใช่จะมีแค่แรงเพียงอย่างเดียวนะคะ

เทคนิคเบาๆแบบเคล็ดไม่ลับ :
1. คืนก่อนปั่น นอนพักผ่อนให้เพียงพอ นะจ๊ะ ..
ร่างกายคนเราใช้เวลาช่วงที่เรานอนหลับในการซ่อมแซมและพักฟื้นเหล่าบรรดากล้ามเนื้อน้อยใหญ่ต่างๆ ประเด็นคือ หากเรานอนน้อยก็จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย และฟื้นตัวช้า ทำให้ไม่มีแรงฟุดฟิดได้ นอนให้เพียงพออย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง ก็ดีนะคะ

2. อาหารเช้าก่อนปั่นจักรยานดี
บ่อยครั้งที่ออกทริปก็มักจะทำตัวผิดปกติจากธรรมดาไป เช่นต้องตื่นมากินข้าวเช้า/ขนมปัง ก่อนออก Trip ต้องระวังนะคะบางทีลำไส้เราอาจจะมันไม่คุ้นเคย จนมีอาการปั่นป่วนแบบจู๊ดๆได้ แต่จริงๆถ้าทานได้มันก็ดีนะค่ะ เผอิญส่วนตัวปกติเป็นคนที่ทานอาหารเช้าน้อยมาก ก็เลยออกแนวพะอืดพะอม หากต้องกินตอนเช้าก่อนออกกำลังกาย ไม่คุ้นชินจริงๆค่ะ ก็เลยอาจจะทำให้เรี่ยวแรงหายไปในระหว่างออกกำลังกาย

3. น้ำเปล่า/ เกลือแร่ ระหว่างปั่น อย่าให้ขาด
การเติมน้ำระหว่างออกกำลังกายสำคัญมากนะคะ ร่างกายสูญเสียน้ำไประหว่างการออกกำลังกายเยอะมาก อย่างน้อยก็ต้องมีเป็นหลักลิตร หากเราไม่เติมน่้ำเข้าไปเลือดในตัวเราก็จะเข้มข้นมาก อาจจะทำให้เกิดโอกาสเป็นตะคริวระหว่างการออกกำลังกายได้มากขึ้น

4. เริ่มออกตัวปั่น อย่าซ่า!! ปั่นเร็ว
หัวใจที่เต้นเร็วเกินไปขณะเริ่มออกตัวปั่นช่วง 20-30 นาทีแรก จะส่งผลให้ร่างกายมีการเผาผลาญน้ำตาลสำรองหมดเร็วจนเกินไป อันที่จริงแล้วเราต้องฝึกฝนให้ร่างกายคุ้นเคยกับการเผาผลาญไขมันสำรองซึ่งใช้ได้นานกว่าก่อนถึงจะถูกต้อง ตัวเองเป็นคนที่ลองพยายามปั่นเร็วตอน Start อยู่หลายครั้ง ตายแบบหมดแรงกลางทางตลอด "ไม่คุ้มเลย" ก็เลยสงสัยว่าทำไมหลายคนที่เค้าปั่นไกลๆได้แบบไม่เหนื่อย เค้าถึงมีแรงกันมากมาย อันที่จริงแล้วเค้ารู้จักวิธีการใช้แรงอย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

5. ประหยัดแรงปั่น- ปั่นดูดแรงจักรยานคันหน้า
เรียนรู้การประหยัดแรงบ้างด้วยการปั่นตามกลุ่ม แต่ก็อย่าตามจนลืมฝึกขยับขั้นขึ้นเป็นหัวลากกันบ้างนะคะ การปั่นตามหลังจริงอยู่ที่ช่วยประหยัดการเผาผลาญอ๊อกซิเจนตัวเราเอง ได้มากถึงประมาณ 30% แต่ก็ระวังเค้าจะลือกันได้ว่า "ตัวดูด"ได้นะค่ะ เจ้าของ Blog ตอนนี้เป็นตัวดููดแรงอยู่ค่ะ แถมมีนิสัยเสียไปปัดล้อหลังจักรยานคันที่ไปดูดออกบ่อย อันตรายต่อตัวเองมากนะค่ะ ดูดแบบมีระยะห่าง 1 ล้อเป็นอย่างน้อยด้วยนะ


6. ใช้เกียร์ผิดปั่นขึ้นเนิน
บนทางเรียบ "รอบขา" ที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 85-90 เพราะรอบขาที่ต่ำไปตัวเรา อาจจะต้องปั่นจนขายุ่งเหมือนหนูถีบจักร สร้างความเครียดให้ตัวเองโดยไม่จำเป็น และหมดแรงไปโดยไร้ประโยชน์ หรือรอบขาที่สูงเกินไปก็จะทำให้สูญเสียแรง และเกิดความอ่อนล้าขึ้นได้ง่าย ลอง Test ความรู้สึก และหาจังหวะรอบขาที่เหมาะสมกับตัวเองกันเองดูนะค่ะ ไม่มีทฤษฎีตายตัวจริงๆค่ะ

Bloger by Ann TREK Silque
Date Jan 26, 2015







วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

อยากเป็นคนหัวใจเต้นช้า สักวันฉันจะ 40

การนับอัตราการเต้นหัวใจ คืออัตราความเร็วการบีบตัวของหัวใจเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยมีหน่วยวัดเป็นครั้ง/ นาที ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจของคนเรานั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยจะขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำ ไม่ว่าจะเป็นการ ยืน นั่ง เดิน นอน และนอกจากนี้จะขึ้นอยู่กับสภาวะทางอารมณ์ รวมทั้งสุขภาพร่างกายโดยรวมด้วย

ตำแหน่งที่นิยมวัดกันที่เรียกว่า "การจับชีพจร" คือตำแหน่งด้านหน้าข้อมือส่วนที่ต่ำกว่าฐานของนิ้วหัวแม่มือ จะเป็นจุดที่ทำให้เรารับรู้ได้ถึงการเต้นของหลอดเลือดแดงได้อย่างชัดเจน


ชีพจรปกติของวัยผู้ใหญ่อย่างเราๆขณะพัก โดยปกติน่าจะอยู่ที่ 60-90ครั้ง/นาที (ทั้งนี้แล้วแต่ชีพจรของแต่ละคนด้วย) ซึ่งจะมีอัตราที่ไม่เท่ากันแน่นอนในช่วงเวลาที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นการ ยืน นั่ง เดิน นอน และขึ้นอยู่กับสภาวะความเครียด รวมทั้งสุขภาพร่างกายโดยรวม  แลัวคนที่เค้าเป็น "นักกีฬา" ชีพจรจะเป็นยังไงน้อ ตอบได้เลยว่า "เต้นช้า"

อัตราการเต้นของหัวใจเท่าไรถึงจะดี
          โดยปกติแล้วในช่วงเวลาพักผ่อน หัวใจของคนเราจะมีอัตราการเต้นอยู่ที่ 72 ครั้งต่อนาที หรือประมาณ 60 - 80 ครั้งต่อนาที ส่วนในเด็กเล็กจะมีอัตราชีพจรอยู่ที่ 90 - 140 ครั้งต่อนาที แต่สำหรับนักกีฬาที่ถูกฝึกเป็นเวลานาน หรือผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำก็อาจจะมีอัตราการเต้นหัวใจเพียง 30 - 50 ครั้งต่อนาที (ผู้ใหญ่ที่สุขภาพดี ไม่ควรมีอัตราการเต้นของหัวใจเกิน 100 ครั้ง/นาที) เพราะนั่นเป็นสัญญาณที่แสดงว่ากำลังมีปัญหาสุขภาพ

         หัวใจที่เต้นช้าไม่ได้มีประโยชน์แค่เพียงทำให้สุขภาพหัวใจแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังส่งผลทำให้คนเราไม่เหนื่อยเร็วอีกด้วย นอกจากนี้การที่หัวใจเต้นช้าลงก็จะทำให้หลอดเลือดนั้นสามารถลดความตึงเครียดลง ทำให้เซลล์ในหัวใจได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ ส่งผลให้เลือดที่ถูกสูบมีออกซิเจนมากขึ้น และร่างกายก็จะได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ นั่นคือ การมีอายุที่ยืนยาวขึ้นนั่นเอง เห็นข้อดีของการที่หัวใจเต้นช้ากันแล้วใช่ไหมคะ ฉะนั้นอย่ามัวรอช้า มาเริ่มออกกำลังกายและหมั่นดูแลสุขภาพเพื่อที่หัวใจจะได้แข็งแรงและไม่ทำงานหนักกันค่ะ ยิ่งเริ่มเร็วชีวิตก็ยิ่งยืนยาวขึ้นนะคะ 

ส่วนตัวของผู้เขียนนับจากตอนที่เริ่มปั่นจักรยานใหม่ๆสัก 5 -6 เดือนก่อนหน้านี้ ตอนแรกก็ไม่เชื่อนะค่ะ ว่ามันจะมีค่าการเต้นหัวใจที่ช้าลงได้ ทดสอบวัดทุกเช้ามาเป็นเวลาจะ 6 เดือนแล้วค่ะ ค่ามันลดลงจริงๆ จากเดิมเมื่อประมาณ 6 เดือนที่แล้วอยู่ที่ 75-76 ครั้ง/นาที มาเช้าวันนี้ วัดได้ที่ 61-60 ครั้ง/นาทีแล้วคร่า "หัวใจเต้นช้าลงแล้วค่ะ"
                                                   
                                                    อยากเป็นคนหัวใจเต้นช้า สักวันฉันจะ 40

Bloger by Ann TREK Silque
Date Jan 22, 2014






   

วันอังคารที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2558

ปั่นจักรยานขึ้นเขา "ปฏิกิริยาแบกน้ำหนักตัวเอง สู้แรงโน้มถ่วงโลก"

แบกน้ำหนักตัวเอง สู้แรงโน้มถ่วงโลก คืออะไร!!! หลายท่านที่ได้อ่านอาจจะงงแน่ๆเลย.....
ช่วงสักประมาณปีกว่าๆตัวเองได้มีโอกาสไปลงเรียน YOGA FLY และ Pilates กับสถานบันป๊าจิ๊ และที่ Absolute YOGA สาขาแถวบ้าน สนุกมากค่ะ ได้ทั้ง "ยืดคลายเส้น" และ "สร้างความแข็งแรงกล้ามเนื้อ" เป็นอย่างดี...สัจธรรมที่ค้นพบ/ รู้สึกในระหว่างการเล่นโยคะที่ชัดเจน คือทำไมตัวเองหนักได้ขนาดนี้  กว่าจะยกตัวเองผ่านเชือกโยคะขึ้นมาในแต่ละท่าได้ บอกเลยหากเชือกไม่เหนียวจริง มีขาดแน่!!! หรือนี่แหล่ะที่เรียกว่า            
                                     "ปฏิกิริยาแบกน้ำหนักตัวเอง สู้แรงโน้มถ่วงโลก"

แต่เชื่อไหมค่ะมีอีกกีฬา Outdoor ที่โหด มันส์ ฮา มากต่อปฏิกิริยาแบกน้ำหนักตัวเอง สู้แรงโน้มถ่วงโลกนั่นคือ "การปั่นจักรานขึ้นเขา" นั่นเอง ทฤษฎีนี้ถูกค้นพบด้วยตัวเองก็เมื่อครั้งที่ได้ไปปั่นขึ้นเขาในงานพิชิตมอหินขาว เมื่อปี 2557 ที่เป็นทางชันจริงๆนี่แหล่ะ จำได้ว่าตอนปั่นขึ้นเขาที่มีความชันเพียงแค่ 10% ก็ไม่ไหวเสียแล้ว พาลจะเอาตัวเองลงมาเดินหรือวิ่งยกจักรยานขึ้นเขา ง่ายกว่าเยอะเลย

คำถาม!!!ทำไมนักปั่นเก่งๆเขาสามารถปั่นจักรยานได้อย่างเหมือนกับมีพละกำลังมหาศาลหน้านิ่งคิ้วไม่ขมวด ในขณะที่ตัวเองปั่นขึ้นเขาทีไร หน้านิ่ว คิ้วขมวด ย่นแบบลืมฉีดโบท็อกซ์ได้ขนาดนั้น จักรยานสมรรถนะเบาหวิว ทั้งโยกตัว กระแทกขาส่งแรง ก็ไม่ได้ช่วยเสียเลย  

                      --ออกแต่แรง ไม่มีเทคนิคปั่นขึ้นเขาผิดมหันต์---

-   การใช้เกียร์แบบใช้ใจและรอบขา :เป็นเรื่องสำคัญมากที่ควรฝึกฝนให้ชำนาญด้วยตัวเราเอง เราควรรู้จักจักรยานของเราเสมือนเป็นส่วนเดียวกันกับตัวเราเองได้เป็นอย่างดี "รู้จุด รู้ตำแหน่งทุกท่วงท่างในระหว่างที่ปั่นให้ได้" เพราะเราไม่สามารถท่องทฤษฎีระหว่างที่ปั่นได้ คนส่วนใหญ่มักจดจำการเปลี่ยนเกียร์ระหว่างปั่นขึ้นเขาตามทฤษฎี "เปลี่ยนเฟืองหลัง เปลี่ยนจานหน้าลง รอบขานิ่ง"บอกได้เลยว่าอารมณ์สถานการณ์ปั่นขึ้นเขาจริง แค่หายใจและมีสมาธิอยู่กับตัวเองก็เหนื่อยแล้วค่ะ ท่องได้ท่องไป แต่ไม่คุ้นชินจักรยานและความรู้สึกตัวเอง มันก็ไม่รอดจริงๆนะ

-   กรณีมีหัวลาก สิ่งสำคัญ คือ สายตาของเรากับการมองก้นของหัวลากข้างหน้าเราต้องมีความเชื่อมั่น ศรัทธา และไว้ใจคนที่เป็นหัวลากนะ อันนี้สำคัญมาก!! และเมื่อปั่นเข้าใกล้เส้นทางที่มีเนินชันไม่ควรเปลี่ยนเกียร์เบาทันที อาจจะลองปั่นด้วยเกียร์เดิมจนรู้สึกว่ารอบขาเริ่มลดลง (หนักขึ้น) แล้วค่อยลองเปลี่ยนเป็นเกียร์เบาลงทีละเฟืองหลัง ก็น่าจะดีกว่าจะได้เป็นการ TESTรอบขาของตัวเราเองด้วย และหากยังพบว่ารอบปั่นยังช้าอีก ก็ลองค่อยๆเปลี่ยนเกียร์จานหน้าลงทีละเฟือง (ให้มันรู้สึกเบาขึ้น) ซึ่งถ้าหากรอบขาเบาเกินไป ก็ค่อยขยับเปลี่ยนเฟืองหลังเพิ่มขึ้นทีละเฟือง (ให้มันรู้สึกหนักขึ้น)ตามมา ต้องลองหาจังหวะที่เหมาะสมเองกันดูนะ ส่วนตัวตบจนหมดเฟืองหน้า เฟืองหลัง ก็ยังแอบรู้สึกหนักค่ะ 555+ อันนี้ยืนยันยกความผิดให้กับแรงขาตัวเองเนื้อๆแบบไม่ใส่น้ำค่ะ 555+
-   การออมแรงปั่นแบบปาดโคลนและแทงเข่า :ไม่ได้ต่อยมวยนะค่ะ อย่างพึ่งเข้าใจผิด หลักการปาดโคลนและแทงเขา คือการใช้หลักการมโน มโนว่าเราทำการกดน้ำหนังลงอย่างหนักเสมือนต้องการปาดอึน้องหมา แมว ติดอยู่ที่รองเท้าออกไปจากรองเท้าอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ส่วนการแทงเข่านั้นให้นึกถึง Stepดึงขาขึ้นเหมือนจะดึงขาไปแทงเข่าหลังจากได้ปาดอึออกไป ซึ่งจุดนี้จะใช้ต้นขาด้านหน้าที่เป็นกล้ามเนื่อที่ไม่ค่อยได้ใช้ปกติ บอกเลยว่าจะรู้สึกปวดเมื่อย ไม่ต้องกังวล คะ  

-   อย่าโยกตัวปั่น และเร่งความเร็ว ควรจัดท่าทางการปั่นช่วงบนของร่างการทำมุม 30 องศา โน้มตัวไปด้านหน้ามากกว่าปกติ เพื่อไม่ให้ล้อหน้าจักรยานยกขึ้น และส่งน่้ำหนักจากไหล่ไปที่อุ้งมือ นิ้วมือกดไปที่แฮนด์เพื่อให้ล้อยึดเกาะถนนมากขึ้น
-   สิ่งสำคัญที่คิดว่าทุกคนน่าจะได้ประสบพบเจอ นั้นคือการสร้างกำลังใจให้กับตัวเองผ่านสมาธิ ควรหายใจเป็นจังหวะ หายใจเข้าให้ลึกแล้วค่อยๆปล่อย ส่วนตัวก็ใช้การหายใจทางปากช่วยด้วย เพราะการปั่นขึ้นเขาเน้นใช้ออกซิเจนเยอะกว่าปกติทางเรียบค่ะ

เวลาที่เราปั่นขึ้นเขามันท้อมากนะ อารมณ์อันธพาล เหวี่ยง เกิดขึ้นได้ไม่ยากเลยตลอดเวลาของการปั่นต้านแรวโน้มถ่วงโลกเพื่อขึ้นเขาให้ได้ แต่เชื่อไหม....เวลาที่เราทำมันได้สำเร็จ หัวใจเราจะพองโตมาก  
....ฟินสุดๆ....


ว่าแต่ขึ้นเขาไปได้แล้ว แล้วจะกลับลงจากเขายังไง....
-   เฮ้ย ตอนลงเขามันต้องมีหลักการกำกับด้วยเหรอ คำตอบต้องมีค่ะ เพราะโดยปกติแล้วความรู้สึกมันจะสวนทางกับตอนปั่นขึ้นเขาอย่างสิ้นเชิง ตอนเราปั่นขึ้นเขามันหนักมากนะ เปลี่ยนเกียร์จนหมดแล้วก็ยังหนัก แต่เวลาปั่นลงเขาเกียร์มันจะกลับกันเลยทันที ทุกอย่างจะเบาขึ้นโดยอัตโนมัติ ทางที่ดีควรปั่นแบบเลียเบรคไว้ส่วนตัวจะพยายามใช้เบรค 2ข้างเท่าๆกัน 50/50 แตะคุมความเร็วระหว่างช่วง 55-60 ระวังลมตีด้านข้างกันด้วยนะค่ะ เพราะอาจจะทำให้เสียการทรงตัวได้ ถ้าซ่าส์ปล่อยไหลลงเขาที่ความเร็วเกินกว่านี้ก็ตัวใครตัวมัน นะ ^^  

-   ที่สำคัญอีกประการ คือการจัดระเบียบร่างกายให้ดี "ก้มต่ำหลบลมไว้ให้มันแอโร่ที่สุด" นั่นคือการใช้ท่ามาตรฐานจับดรอป เข่าทั้งสองข้างหนีบเฟรมท่อนอนไว้แน่น เพื่อลดการสะบัดลงไปได้เยอะคร่า

จากภาพคือความชันที่นักปั่นขาลง ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะด้วยความสูง ระยะลาดลง และทิศทางลง อาจจะทำให้สูญเสียการทรงตัวได้ไม่ยาก ในระหว่างการปั่นจักรยานลงจากเขาค่ะ

ท่าก้มปั่นลงเขาแบบนี้ อันตรายไปหน่อยนะค่ะ อย่ายกก้นแบบนี้เลย แอนว่ามันควบคุมการทรงตัวลำบากไปนะ

ใช้ท่าปั่นแบบจับดรอป จะช่วยให้เราสามารถควบคุมการทรงตัวและแอโรไดนามิกได้ดีขึ้น
 ปล. อย่าลืมตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ เช่น เบรค ยาง ให้อยู่ในสภาพที่ดีและพร้อมใช้อยู่เสมอกันด้วยนะจ๊ะ ตอนนี้ผู้เขียนก็กำลังฝึกหัดความแข็งแรงอยู่ ไว้มีทีเด็ดจะเข้ามา update กันนะคะ ว่าแล้วขอไปเตรียมซ้อม Trainer จร้า 

Bloger by Ann TREK Silque
Date Jan 20, 2015

 

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2558

MTB สู่ ROAD BIKE "TREK Silque SLX"

พักนี้เริ่มเห็นหลายคน หันมาสนใจปั่นจักรยานมากขึ้น โดยเฉพาะสาวๆที่สมัยก่อนอาจจะรู้สึกว่าการปั่นจักรยานจะทำให้ผิวดำคล้ำ ผิวเสียแห้งกร้าน และบลา บลา บลา ...แต่ปัจจุบันพบว่ากำลังเป็นอีกหนึ่งกีฬา Outdoor ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ไม่ต่างกับความนิยมในการทำคิ้ว 3 มิติกันเลยทีเดียว (เกี่ยวกันไหม 555+)  เจ้าของ Blog เดิมทีก็ไม่ได้ปั่นจริงจังซะทีเดียวค่ะ เน้นวิ่งเป็นหลักอยู่หลายปี จนพึ่งมาสักช่วงเกือบ 1 ปีให้หลังที่หันมาจริงจังและให้เวลากับการปั่นจักรยานด้วย นอกเหนือจากวิ่งมาราธอน ^^

วันแรกที่คิดจะลองมาปั่นจักรยาน!!!  จำได้ว่าตัดสินใจหลักๆที่ "ราคาจักรยาน" เป็นหลัก คือ แค่ตั้งใจ
จะ "ลองดู" เลยมีงบประมาณในใจไม่เกินที่ 13,000-15,000 บาท บวกกับความใจร้อน เรียกว่าไม่ได้ศึกษาข้อมูลจักรยานเลย "กิเลส+โลภ ล้วนๆ"  เลยรีบไปร้านจักรยานแถวบ้าน และตัดสินใจคว้าเสือภูเขา JAVA มาครอบครองทันทีภายในไม่เกิน 2.5 ชั่วโมง (ไม่ได้คร่อมปั่นหรือทดลองใดๆทั้งสิ้น) รู้แต่ว่าจักรยานหนักเอาเรื่องทีเดียว (มันยกไม่ไหวอ่ะค่ะ) ว่าแล้วทางน้องที่ขายจักรยานก็ตะโกนบอกว่า Bike Fitting ครับพี่ ว่าแต่........มันคืออะไรอ่ะ ?????
"Bike Fitting" คือ การปรับแต่งจักรยานให้เหมาะสมกับร่างกายของผู้ขี่ และปรับท่าทางการขี่ของผู้ขี่ให้สามารถรีดประสิทธิภาพของจักรยานตนเอง ออกมาได้อย่างเต็มที่ ก็จะได้ค่า fitting รถออกมาค่าหนึ่ง เพื่อนำมาปรับแก้ท่าขี่จักรยานให้ถูกต้องเหมาะสมเพิ่มมากขึ้นต่อไป ...อ้อแบบนี้นี่เอง .....
หัดลองปั่นได้อยู่ 3-4 วัน เริ่มรู้สึกว่ามันหนักต้นขา บวกกับช่วงนั้นได้มีโอกาสไปลอง MTB Superfly Carbon โอ๊ว จักรยานมันมีแบบเบาๆด้วยเหรอนี่ "มันยอดเยี่ยมมากค่ะ" เบาขาและออมพลังการปั่นได้อย่างนุ่มนวลจริงๆ มันโดยใจตอนนั้นมาก ก็เลยไม่รีรอช้ารีบโพสขาย JAVA ไปที่ OLX เผื่อว่าถ้าขายได้ก็จะไป upgrade เป็น MTB ที่ดีขึ้นในด้านสมรรนะ & Brand ลงขายเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น!!!!! ก็สามารถขายได้ทันที จำได้ว่ามีคนมาขอซื้อถึง 3-4 รายในเวลาเดียวกัน และแล้ว JAVA ก็ได้พบเจ้าของที่เหมาะสม Bye Bye JAVA My first MTB Bike.....  

MTB คันที่ 2 ยอมรับว่าคิดอยู่ไม่นานเลย ตั้งใจว่าถ้าฝึกซ้อมรอบขา/การปั่นให้ชำนาญกว่านี้ได้ดีขึ้น Step ต่อไปจะลองเสือหมอบเมื่อถึงเวลา และแล้วก็มาจบที่ MTB –TREK Superfly 8.6 จำได้ว่าช่วงนั้นปั่นเมามันส์มาก ด้วยล้อที่ใหญ่ มันสมบุกสมบัน สะเทิ้นทางขรุะขระได้เป็นอย่างดี นับเป็นอีก MTB ที่ส่วนตัวแอนชอบนะ 




ปั่นไปสักพักน่าจะประมาณสัก 1 เดือนนิดๆ ก็โดนเพื่อนในกลุ่มทักว่าเดี๋ยวขาใหญ่นะ บวกกับ Speed ที่เร่งเครื่องยังไงก็ได้สูงสุดไม่เกิน 20-21 ทีนี้ก็เลยเริ่มลังเลแบบ 99-100% ปันใจมาที่ Road Bike เลยค่ะ ครั้งนี้ขอศึกษาข้อมูลให้ถ้วนถี่ก่อนตัดสินใจขั้นเด็ดขาดว่าจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนดี    

เค้าว่ากันว่า !!! เสือภูเขาเหมือนขับรถ Off road ขับง่ายไปได้ทุกสภาพถนนได้เรื่อยๆไม่เร็ว
เสือภูเขามีโครงสร้างที่ใหญ่ แข็งแรง มีหน้ายางที่ใหญ่ และมีดอกยางใหญ่ เพื่อการตะกุยดิน รถแบบนี้จะเน้นความทนทาน เพราะเน้นใช้งานสมบุกสมบัน และมีท่านั่งที่สบายกว่าเสือหมอบ


เสือหมอบเหมือนขับ Formular 1 รถเก๋งโหลด ไร้สปริงค์ ขับยาก หน้าไว ไปได้เร็วมากครับแต่ต้องระวังหลุมและคอสะพาน เสือหมอบ จะเป็นรถที่เน้นความเร็วอย่างเดียว ลักษณะรถจึงเล็ก เพรียว เบา ลู่ลมที่สุด ไม่มีอุปกรณ์ซับแรงกระแทก หน้ายางเล็กแคบ เพื่อลดแรงเสียดทานกับพื้นถนน  ความทนทานน้อยกว่าเสือภูเขา

คันที่ 3 ในชีวิตในรอบ 3 เดือน เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยอมรับว่าอยากได้ของดีมาครอบครองมากๆ สับสนและวุ่นวายตอนเลือกซื้อมาก เพราะครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าเปลี่ยนแนวไปจากเดิมจากคนที่ไม่เคยคิดจะปั่นจักรยานเลย และหันมาเริ่มปั่นเสือภูเขาถึง 2 คัน จนตอนนี้จะเปลี่ยนมาคร่อมเสือหมอบ ทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่ถึง 3 เดือน ศึกษาข้อมูลไปมาหลายรอบ จนเรียกว่า "มึน" ก็ว่าได้ แต่จริงๆในใจก็มี Brand ที่ชอบอยู่แล้วค่ะ คือ "TREK" เหลือแต่เลือกรุ่นและแบบที่ชอบเท่านั้นเอง
หลายคนเข้ามาถามแอนเยอะนะ ว่าทำไมต้อง TREK !! ส่วนตัวเป็นคนที่ชอบรูปแบบ "เฟรมและสีสัน" ของ TREK มาก่อนอยู่แล้ว (แนะนำเลยค่ะ ว่าจักรยาต้องเป็นหน้าตารูปร่างที่เราชอบจริงๆ เหมือนถูกชะตากับคนรักอะไรประมาณนั้นค่ะ)  บวกกับมีโอกาสได้ไปดูจักรยานอยู่หลายร้าน ก็แทบจะมีเพียงไม่กี่ร้านที่จะยอมให้ลองปั่นคันที่เราเล็งไว้ จนกว่าจะชอบและถูกชะตาจริงๆ แอนว่าจักรยานมันก็เหมือนพาหนะสำคัญที่จะต้องเป็นหนึ่งเดียวกับเรานะ เราต้องคร่อมมันไปอีกนาน ควรได้มีโอกาสลอง ได้ลูบไล้ สัมผัส ก่อนเสียเงินหรือเปล่า

บางคันที่มีราคาแพงหูฉี่ มันดียังไงกว่าราคาที่ถูกกว่า???  นอกจากวิชาการที่ Support มันขาดก็แต่การได้ลองปั่นจริงนะค่ะ อีกอย่างที่รู้สึกได้ คือ "การดูแลบริการทั้งก่อนและหลังการขาย" ของ Probike
แอนชอบจริงๆแบบไม่ได้อวยและได้ค่า Sponsor ใดๆทั้งสิ้น น้องพนักงานทุกๆคนเค้าเป็นนักปั่นด้วยมั้งค่ะ ข้อมูลที่ได้คือมาจากคนที่รู้จริง + เสียงลือเสียงเล่าอ้างกันมาว่าหลังการขายเค้าก็ยังดูแลเรื่องของบริการหลังการขายได้เป็นอย่างดี

ประเด็นสำคัญสุด คือ การมีสังคม TREK FC ที่มีการให้ข้อมูลเป็นอย่างดี มีการจัด TRIP ปั่นดีๆจากทาง Probike นั่นเองค่ะ แอนคงไม่สามารถปั่นจักรยานได้คนเดียวแน่นอน ก็เลยคิดว่าตัดสินใจว่าคงเลือกไม่ผิดแน่นอนที่จะออกคันใหม่ เป็น "TREK Silque" จากศูนย์ Probike จักรยานเสือหมอบคาร์บอน Style  เอนดูรานซ์ (endurance) ปั่นสบายซับแรงกระแทกสำหรับสาวๆ โดยเฉพาะคันนี้ เห็นปั๊บรักเลยค่ะ .....
Credit Picture by TREK Website

Credit Picture by CYCLINGTIPS
-   ถ้าใครเคยเห็น Trek Domane คงนึกออกที่บริเวณหลักอานจะมี ISO Speed Decoupler ที่สามารถให้ตัวซับแรงกระเทือนได้ เฟรม Silque วางตัวเนื้อคาร์บอนตามขนาดจักรยานโดยเฉพาะ และองศารถก็ออกแบบให้ผู้หญิงปั่นได้สบาย ท่อนอนลาดสโลป เพื่อให้ยืนคร่อมระหว่างจอดได้ง่ายและท่อนั่งกว่ามาตรฐานปกติของจักรยานชาย (สะโพกผู้หญิงอย่างเรามันมีขนาดที่กว้างกว่าผู้ชายเยอะค่ะ) Trek Silque ใช้เทคโนโลยีเดียวกับ Trek Domane ที่โปรใช้ปั่นในสนามคลาสสิคสุดวิบากนั่นเองค่ะ 

-   เรื่องการออกแบบเน้นเป็นรถกึ่งแข่งขันกึ่งปั่นสบาย องศารถอยู่ระหว่าง Trek Domane และ Madone  "รักพี่แต่ก็เสียดายน้อง ขอเก็บไว้ทั้ง 2 Model" ตะเกียบหลัง (Chainstay) ออกแบบให้คุมรถได้นิ่งกว่าเดิมในทางขรุขระ แต่ความสูงกระโหลกใช้ระดับเดียวกับ Trek Madone ซึ่งต่ำกว่า Domane ทำให้ตอบสนองการเลี้ยวเข้าโค้งได้ดียิ่งขึ้น
-   Trek Silque มีให้เลือกถึง 6 ไซส์ตั้งแต่ไซส์ 44, 47, 50, 52, 52 และ 56 เซ็นติเมตร ส่วนราคามีตั้งแต่ระดับคาร์บอนไปจนถึง รุ่นท๊อป Project One สั่งทำสีตามที่เราต้องการได้ค่ะ
  • Silque ($2,089)
  • Silque SL ($3,149)
  • Silque SLX ($3,679)
  • Silque SSL ($6,599 or Project One)
Credit Picture by http://justtcycling.com
Trek Silque SSLรุ่นตัวท๊อป ใข้คาร์บอน OCLV 600 และองศาท่อคอแบบ E2 ตะเกียบคาร์บอน มากับกรุ๊ปเซ็ต Shimano Ultegra Di2 และล้อ Bontrager Race X

รุ่นรอง Silque SLX ใช้เฟรมตัวเดียวกับ SSL ชุดเกียร์เป็น Ultegra Mechanical ล้อ Bontrager Race

ส่วนตัวเป็นคนสูงอยู่ที่ 158.5 น้ำหนักตอนอวบ อยู่ที่ 52.5-53.5กก. ขึ้นลงๆประมาณนี้ แอนว่า TREK Silque เหมาะกับผู้หญิง Size ประมาณนี้นะ อาจจะดูที่เฟรมขนาดสัก 47 หรือ 50 ก็ได้ค่ะ อย่างไรก็ตามลองเลือกแบบและสีที่ชอบก่อนเป็นหลักและค่อยไป Bike Fitting อีกทีก็ได้ค่ะ

แอนเลือก TREK Silque SLX เพราะตอนที่ตัดสินใจซื้อ ตั้งใจแล้วว่าอยากได้คันที่ชอบจริงๆ เน้นราคาแพงขึ้นมาหน่อยแต่ถ้าหากปั่นแล้วนุ่มนวล+ลุยๆได้บ้าง นี่แหล่ะตอบโจทย์เลย ก็เลยตัดโจทย์อลูมินัมออกไปก่อนเลยค่ะ ก็เลยเหลือตัวที่เป็น "คาร์บอน" เป็นหลัก ทีนี้ก็มาตัดกันที่ว่าเราจะเลือกคาร์บอนที่มาจากไต้หวันหรือเปล่า ถ้า Serious น้ำหนักของตัวจักรยาน ก็จะเหลือแค่ SLX กับ SL ซึ่ง 2 ตัวนี้ห่างกันแค่สามารถออกแบบตามใจฉันหรือที่เรียกว่า Project One เท่านั้นเองค่ะ ประมาณอารมณ์ว่า "มีคันเดียวในโลก" ซึ่ง SL จะแพงกว่า SLX ขึ้นมาอีกเกือบ 40,000-50,000 บาท ก็เลยตัดสินใจจบที่ Silque SLX แทนค่ะ คิดแค่ว่าปั่นเก่งๆค่อยไป upgrade ชุดขับเคลื่อนอย่างเช่นดูราเอชหรือล้อคาร์บอน น่าจะตอบโจทย์ตัวเองได้ดีกว่า....

จำได้ว่ากว่าจะตัดสินใจถอย Silque SLX ได้เทียวไล้เทียวขื่อเข้า ออก Probike อยู่หลายรอบมาก ลองก็หลายรุ่นแทบจะหมดร้าน แอบเกรงใจที่ร้านไปเลย !!!

ได้คร่อมมาหมดแล้วค่ะ ทั้ง Emonda SLR, Emonda SL, Silque SLX, Domane, Madone แต่ละตัวมันมีข้อดี และข้อด้อยไม่เหมือนกันนะ เราต้องตอบความรู้สึกตัวเองให้ได้ว่าชอบอะไรมากที่สุด สำหรับแอน ชอบ "Silque" มากที่สุดนะ อาจจะเป็นเพราะองค์ประกอบหลายๆอย่างที่ลงตัว ทั้งองค์ประกอบจักรยานและงบประมาณ.....

น้ำหนักรถไม่นับรวมบันได้เริ่มต้นที่ 6.4กก ซึ่งเมื่อได้ติดบันได้และติดอุปกรณ์ไฟหน้าไฟหลังและแตร เพิ่มก็ร่วมหนักราว 7.3-7.4 กก. ค่ะ

 
TREK Domane

TREK Emonda SL
หลังจากที่ได้ครอบครอง Silque SLX มาแล้ว ก็เริ่มจริงจังกับการปั่นและการฝึกซ้อมมากขึ้น สำหรับทางเรียบแบบสนามเขียวที่แรกเริ่ม Avg.Speed ที่ MTB18-19 นั้น พอเปลี่ยนเป็น Road Bike -Silque ก็มีค่าที่ดีขึ้นมาอยู่ที่ 21.5-22 ก็เรียกว่าดีขึ้นจากอุปกรณ์นะ แต่เพียงระดับหนึ่งเท่านั้นค่ะ องค์ประกอบหลักๆ อยู่ที่แรงขาของนักปั่นล้วนๆ

สำหรับ TREK Silque บอกได้เลยค่ะว่าทางเรียบนิ่มนวลมาก อารมณ์เหมือนนั่่งรถแบบเบาะนิ่มๆและเคลื่อนตัวไปตามแรงปั่นเบาๆ ปั่นระยะทางไกลได้สบายๆนะ 2-3 รอบสนามเขียว (ประมาณ 50-70กม.) Avg. ระยะที่สามารถปั่นไปได้สำหรับคนแรกเริ่มปั่น แอนว่าแต่ะ 20-21 ไม่น่ายาก คือเป็นแรงผลักที่แทบจะไม่เหนื่อยเลย สมรรถนะของรถพาไปได้สบายๆสำหรับทางเรียบ ถือว่าผ่านฉลุยค่ะ ......ปัจจุบันผ่านมากว่า 6 เดือน ตอนนี้ AV.Speed อยู่ที่ 25-26 สบายๆค่ะ

แล้วแบบปีนเขา หรือทางขรุะขระ ??? ไม่มีทางรู้หลอก ถ้าไม่ลงแข่งหรือลงพื้นที่จริง ตัดสินใจลงพิชิตมอหินขาวชัยภูมิ พย 2557 และ Tour de farm เขาใหญ่ ธค .2557 ไปเลย แบบไม่เคยฝึกซ้อมด้วยซ้ำ

ทั้ง 2 ทริปนี้ หลังได้เอาน้อง Silaue ไปลุยมาบอกเลยว่าจริงๆแล้วสำหรับทางขรุขระ Silque ก็นำพาไปได้อย่างนุ่มนวลนะ ไม่กระแทกสรีระเบ้าก้น/สะโพก มากเท่าไหร่ แต่ความยากของการขึ้นเขานั้น มันขึ้นกับหลายอย่างนะ โดยเฉพาะจำนวนเฟืองหลังและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อของแกนกลางลำตัวและหน้าขา ที่นักปั่นควรมีเป็นทุนเดิม แอนว่าตัวรถมันเบานะ คือถ้าแข็งแรง และมีงบเปลี่ยนเฟืองเพิ่มอีกสักนิดหน่อย เช่นเปลี่ยนเป็น 30-32 ก็น่าจะทำให้ไต่เขาที่ชันๆสัก 11-12 ได้ไม่ยากนะ แต่รอบนี้ได้ลงปั่นไปแบบไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย เนินซึมๆ...สบายๆอยู่ค่ะ แต่ความแข็งแรงส่วนตัวเวลาเจอทางชันสัก 10-11 แอบเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน เลยลงเดินเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะตัวเองไม่แข็งแรงมากกว่า
ทริปพิชิตมอหินขาว 42K เดือนพย. 2557 ลงเดินเสียมากกว่าเพราะขอบอกเลบว่าเขาชันมาก จุดชันสูงสุดที่ 15-18  


สรุปในเบื้องต้นสำหรับ TREK Silque ตอบโจทย์สำหรับสาวๆที่อยากปั่นจักรยานเสือหมอบที่อยากได้ความนุ่มนวล แต่ทนทานต่อทางขรุขระได้ในระดับหนึ่งค่ะ หากเน้นทางเรียบ หรือมีขระขระบ้าง ตอบได้เลยว่านิ่มนวลค่ะ สำหรับทางขึ้นเขาก็สามารถไปได้โดยไม่ได้รู้สึกลำบากอะไรนะ บวกกับน้ำหนักที่เบาของจักรยาน ทำให้สะดวกต่อการแบกหาม หรือแม้กระทั่งโพสท่าถ่ายรูป 5555+

ก็ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีเลยทีเดียวค่ะ ยกเว้นในกรณีที่อนาคตมีโอกาสหรือทุนทรัพย์มากขึ้น การ Upgrade อุปกรณ์ค่อยเป็นอีก 1 Option ที่น่าสนใจค่ะ แต่ในเบื้องต้นสำหรับ Silque แอนว่าก็ตอบโจทย์สำหรับนักปั่นสาวสวยอย่างเราๆ ได้ดีทีเดียวค่ะ    

ตอนนี้ตัวแอนเองก็พยายามซ้อม Trainer ทุกวัน บวกกับเล่นท่าสควอช เพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าขาแข็งแรงกว่านี้ ปัจจุบันก็สามารถปั่นได้ที่ Avg.Speed แตะที่ 25-26 ได้ไม่ยากนะค่ะ เป้าหมายของตัวเองต่อไปคือเป็นผญ. เก่งคนหนึ่งที่แข็งแรงสามารถปั่นเน้น Avg. ให้ไปอยู่ที่ 29-30 ก็ได้ หรือสาว Endurance ที่สามารถปั่นระยะไกลๆ หรือขึ้นเขาได้อย่างสบายๆมากกว่านี้ด้วย TREK Silque SLX คันนี้ก็ได้

- เป็นกำลังใจให้แอนด้วยนะค่ะ- สู้ว๊อย...




Bloger by Ann TREK Silque
Date Jan 12, 2015